
INTERVIEW – TAKARA WONG
30/01/2017
By: WINKIEB
มารู้จักกับ TAKARA WONG ในมุมมองของการ Designเสื้อผ้าที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีมาเป็นส่วนประกอบในแต่ละ Collection
ฐกร วรรณวงษ์ หรือแชมป์ Designer รุ่นใหม่ที่คิดนอกกรอบ แบรนด์ TAKARA WONG คือส่วนผสมสำคัญที่ทำให้แชมป์กลายมาเป็นเขาอย่างทุกวันนี้ เมื่อคุณกล้าก้าวออกมาจากแถวและเลือกทำในสิ่งที่แตกต่างมันคือการฉีกกฎเดิมๆของเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องทำตามแบบแผนที่เคยมีมา แชมป์เลือกที่จะสร้างสิ่งที่ไม่คุ้นเคยให้กลายเป็นสิ่งที่คุ้นตานั่นทำให้เราได้พบกับทั้ง 2 Collection จาก “TAKARA WONG” Designer ในวัย 28 ปีที่ใช้อิทธิพลของดนตรีมาเป็นแรงบันดาลใจ รวมไปถึงความไม่เท่าเทียมกันของสังคมที่ทำให้เราเห็นผ่าน Collection ทั้งหมดนี้
“แรงบันดาลใจมักจะเกิดขึ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว เลยไม่อยากเรียกว่า ค้นหา แต่มันมาเอง โดยไม่ทันตั้งตัว ส่วนใหญ่จะเกิดจากความเก็บกดที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในสังคมตอนวัยรุ่น ที่พบเจอกับตนเองและเพื่อนฝูงคนรอบข้าง”
“Love to Hate Me ได้ inspiaration มาจากแก๊ง Bosozoku แก๊งค์วัยรุ่นกวนเมืองในประเทศญี่ปุ่น และดนตรี Electronic บีบหัวใจอย่าง Drum n Bass คอลเลคชั่นที่กำลังจะปล่อยในเดือนกุมภานี้เป็น Fall/Winter2017 ชื่อว่า Judas ได้ inspiration มาจาก Judas ในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ถูกตราหน้าว่าเป็น กบฎ ของพระเยูคริสต์ แต่ผมกลับคิดกลับกันว่า หากไม่มี Judas ก็ไม่มี Jesus! ความคิดนี้จึงเป็นข้อสงสัยอีกเช่นเคย ทำให้เกิดอยากถ่ายทอดลงบนดีไซน์ในงานเสื้อผ้าของฤดูหนาวที่จะถึงนี้ ผ่าน Material ที่ดุดัน ดิบเถื่อน และได้ Mood และ Muse จากดนตรี Dark Metal”
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวจาก TAKARA WONG ที่เราอยากให้คุณได้รู้จักเขาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ทำอะไรมาบ้าง
หลังจากจบปริญญาตรีด้าน Creative Marketing ที่ม.รังสิต ไปศึกษาต่อด้านเชฟ Patisserie ที่ Sydney ได้พบอิสระและค้นเจอตัวเองที่นั่น ทำให้กล้าออกจาก Comfort Zone กลับมาเปิด Café ชื่อว่า Betta Café ควบคู่กับเป็น Promoter ทำ Music Festival ช่วงนั้นเป็น Trap&Twerk ชื่อ Dreambeat Festival และ เป็น Creative Director ให้กับ WHVCK กลุ่มคนดนตรีกระแสรองที่ค่อยๆ เติบโต จุดเปลี่ยนคือตอนที่มีโอกาสเป็น Producer ให้กับแบรนด์ลิปสติกแบรนด์หนึ่ง และค้นพบว่าเราชอบ Fashion โดยที่เราไม่รู้ตัว หลังจากวันนั้นจึงเริ่มวางแพลนที่จะทำ Fashion Label ของตัวเอง จนมาถึงทุกวันนี้
หาแรงบันดาลใจในการทำงานจากไหน
สิ่งรอบข้าง เพื่อนที่อยู่ใน Subculture ต่างๆ ไม่ว่าจะ Rock , Punk , BMX , Skateboard , Dj และอื่นๆ ล้วนสร้างแรงบันดาลใจให้ผมและงานโดยไม่รู้ตัว มันเจอมาตั้งแต่เด็กๆ จนซึมซับเข้ามาเอง
แรงบันดาลใจมักจะเกิดขึ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว เลยไม่อยากเรียกว่า ค้นหา แต่มันมาเอง โดยไม่ทันตั้งตัว ส่วนใหญ่จะเกิดจากความเก็บกดที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในสังคมตอนวัยรุ่น ที่พบเจอกับตนเองและเพื่อนฝูงคนรอบข้าง อย่างเช่นในโรงเรียน ที่สมัยก่อนจะโดนบังคับให้ตัดผมทรงนักเรียน ถูกบังคับให้เรียนในสิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์เลือก รวมถึงเพื่อนที่เป็นเพศที่ 3 ก็ยังโดนขีดขอบเขตห้ามเปิดเผยตัวเอง จนเราเห็นถึงความไม่เท่าเทียมและไม่มีอิสระ จนเรียนมหาวิทยาลัย เลือกเรียนคณะที่ชอบแล้ว (เปลี่ยนมา 5 คณะ) ก็ยังต้องเรียนวิชาที่ไม่อยากเรียนเช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และอื่นๆ ที่พูดมาทั้งหมดเกิดเป็นคอลเลคชั่นแรก ที่พูดถึง ความไม่เท่าเทียมเรื่องเพศ สีผิว และชนชั้น ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Storage ในความคิดวัยเด็กหลายๆ เรื่องที่เก็บไว้เป็นส่วนใหญ่ มาคอลเลคชั่นที่ 2 ก็เกิดจากความชอบและหลงไหลในวัฒนธรรมและอิจฉาความอิสระทางด้านการแสดงออกทางความคิดของประเทศญี่ปุ่น ชอบตัวละครในการ์ตูนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมแต่งรถซิ่ง อันธพาล และอิสระการแข่งรถผิดกฎหมายในโตเกียว จนเกิดเป็นคอลเลคชั่นที่ 2 ขึ้นมา ส่วนใหญ่ทั้งหมดจะมาจากความชอบ ความสนใจ และความสงสัย จากความคิดเราในวันเด็ก จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจ
ก่อนหน้านี้เรารู้จักแชมป์จากกลุ่ม Whvck ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่า Whvck เริ่มมาจากอะไร แล้วแชมป์ทำหน้าที่อะไรในกลุ่ม Promoter กลุ่มนี้
ผมทำหน้าที่ Creative Director และ Managing Director ให้กับ WHVCK คือควบคุมทิศทางของทีม ว่าจะไปทางไหนที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด มันเริ่มต้นจากความเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เดิมๆ ที่พบเจอเวลาไปเที่ยว ฟังเพลง ดนตรี เดิมๆ ของพวกเราในทีม จนอยากจะสร้างเป็น community เล็กๆ ที่รวมคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน เริ่มจากรวมตัวกับ กราฟฟิคดีไซเนอร์ และดีเจ ที่เป็นเพื่อนกัน 3 คนก่อน จนต่อมาก็ชักชวนเพื่อนๆ น้องๆ มารวมกัน จนเติบโตขึ้น และได้เปิดเพลงที่แสดงออกถึงตัวตนเรามากที่สุด โดยที่ไม่ได้สนใจว่ากระแสหลักจะสนใจไหม เราเชื่อว่าต้องมีคนที่สนใจและชอบสิ่งที่เราทำเหมือนเรา แต่แค่เราต้องหากันให้เจอ พูดถึงก็ต้องขอบคุณ Tempo ที่ชักชวนมาทำหลายๆ project ทำให้มีคนเห็นสิ่งที่เราทำมากขึ้นครับ
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เราอยากมาเป็น Designer
น่าจะชอบอยู่แล้วโดยไม่รู้ตัว เพราะเราช่วยคนในครอบครัวแต่งตัว และเลือกซื้อเสื้อผ้ามาตลอด จุดเปลี่ยนคือตอนที่มีโอกาสเป็น Producer ให้กับแบรนด์ลิปสติกแบรนด์หนึ่ง และค้นพบว่าเราชอบ Fashion โดยที่เราไม่รู้ตัว หลังจากวันนั้นจึงเริ่มวางแพลนที่จะทำ Fashion Label ของตัวเอง จนมาถึงทุกวันนี้ และคิดว่า WHVCK ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรากล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่รัก เกิดจาก passion ล้วนๆ
จุดเริ่มต้นแบรนด์ TAKARA WONG
มันเริ่มจากที่เราเป็นคนชอบแต่งตัวก่อนนั่นแหละ แต่วันนึงเริ่มรู้สึกเบื่อกับเสื้อผ้าที่เห็นทั่วไป คนแต่งตัวเหมือนกันหมดเยอะมากในสังคม เราเลยอยากทำอะไรที่แตกต่าง ตอนทำก็ใช้ style และ sense ล้วนๆ แทนที่จำทำตาม Fashion หรือ Fad ที่มาไวไปไว เริ่มทำโดยที่ไม่มีความรู้ด้าน Fashion มาก่อนเลย ลองผิดลองถูก เหมือนกับแนวทางของแบรนด์ TAKARA WONG คือ Trial and Error คือ การลองผิดลองถูก มันลองมาตั้งแต่ชีวิตตัวเองแล้ว จนถ่ายทอดไปถึงงานที่เราดีไซน์ก็เช่นกัน ตอนแรกๆ ก็ทำแล้วทิ้ง ทำใหม่อยู่เป็นปี กว่าจะออกมาเป็นคอลเลคชั่นแรกในปี 2016
Style เสื้อผ้าของ TAKARA เป็นแนวไหน
ผมว่าพูดยาก มันคือ Style ของ TAKARA WONG แหละครับ คือ เหมือนส่วนผสมของการทดลอง แต่ออกมาในรูปแบบของเสื้อผ้า มันมี Luxury Streetwear ทีมีกลิ่นอายของ Sub-culture อัดอยู่แน่น ที่คนที่ชอบสไตล์เราจะกล้าใส่ คือกล้าแสดงออกความเป็นตัวตนออกมาให้โลกรับรู้ แต่ผมมักซ่อน Detail ของ Punk เค้าไปในเสื้อผ้าเสมอ ไม่รู้ทำไม มันเผลอใส่ไปเอง ส่วนใหญ่ TAKARA WONG จะเน้น Cutting และ Silhouette ที่คมและชัดเจน และมักสอดแทรกเทคนิคใหม่ๆ รวมถึง Materials แปลกๆ ที่เราพบเจอเข้าไปในงานเสมอ
เพลงมีส่วนช่วยในการdesign เสื้อผ้ามากน้อยแค่ไหน
มีส่วนมากๆ เพราะปกติเป็นคนฟังเพลงตลอดเวลาอยู่แล้วในกิจกรรมทั้งวัน ตั้งแต่ตอนตื่นนอน อาบน้ำ ทำงาน นั่งรถ และเพลงมีผลทำให้เราเกิด Inspiration โดยที่บางทีไม่ได้รู้ตัว หรือบางทีเราใช้ muse ของเพลงมาทำ moodboard ก็มี เพื่อให้เราสื่อสารกับทีมได้ชัดเจนมากขึ้น ถึงดนตรีจะไม่ใช่สสารที่เป็นรูปธรรม แต่เราจับจองมันได้โดยใช้ความรู้สึก และมันถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีไม่แพ้รูปภาพเลย ในความคิดผมนะ
เพลงแนวไหนที่ชอบฟังเป็นพิเศษ
ตอนนี้ Collection ใหม่ของปี 2017 กำลังจะออกมาแล้ว ช่วยเล่าที่มาที่ไปของ Collection นี้ให้เราได้ฟังหน่อย
เพิ่ง Launch คอลเลคชั่น Spring/Summer2017 ไปเมื่อปลายปี 2016 content “Love to Hate Me” ได้ inspiaration มาจากแก๊ง Bosozoku แก๊งค์วัยรุ่นกวนเมืองในประเทศญี่ปุ่น และดนตรี Electronic บีบหัวใจอย่าง Drum n Bass คอลเลคชั่นที่กำลังจะปล่อยในเดือนกุมภานี้เป็น Fall/Winter2017 ชื่อว่า Judas ได้ inspiration มาจาก Judas ในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ถูกตราหน้าว่าเป็น กบฎ ของพระเยูคริสต์ แต่ผมกลับคิดกลับกันว่า หากไม่มี Judas ก็ไม่มี Jesus! ความคิดนี้จึงเป็นข้อสงสัยอีกเช่นเคย ทำให้เกิดอยากถ่ายทอดลงบนดีไซน์ในงานเสื้อผ้าของฤดูหนาวที่จะถึงนี้ ผ่าน Material ที่ดุดัน ดิบเถื่อน และได้ Mood และ Muse จากดนตรี Dark Metal
ถ้าให้เปรียบเพลงกับเสื้อผ้าของ Takara จะออกมาเป็นเพลงอะไร
DIE ANTWOORD – FAT FADED FUCK FACE (Official Video) from Die Antwoord Official on Vimeo.
อนาคต Street Fashion ของเมืองไทยในมุมมองของคุณเป็นแบบไหน
ผมมองว่าคนไทยเปิดใจรับวัฒนธรรม Sub-culture มากขึ้น (ทั้งๆที่มันก็เกิดขึ้นในไทยมานานแล้วแต่ไม่ค่อบได้รับความนิยมหรือสนับสนุนเท่าไหร่นัก) นั่นแน่นอนว่า Street Fashion ก็น่าจะเฟื่องฟู่มากขึ้นเรื่อยๆ และเห็นได้จากแบรนด์ใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะของเทศ ของไทย ก็หันลงมาจับ Street Fashiom กันมากขึ้น และใส่เข้าไปในงาน High Fashion ของตนเอง เพื่อให้เข้าถึงง่ายและจับต้องได้ พูดง่ายๆ คือใส่เดินตามท้องถนน เดินห้างได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่าแล้วทำไมมันจะไม่ได้รับความนิยม แต่ต้องไม่ลืม Identity และ ความเป็นตัวตนของแบรนด์ จนเปลี่ยนไปทั้งหมดเท่านั้นเอง
คิดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าแบรนด์ TAKARA จะเป็นยังไงต่อไป
แน่นอน TAKARA WONG ยังคงเดินหน้าตามหลัก Trial and Error ที่เป็นมาตั้งแต่แรก คือไม่หยุดทดลองอะไรใหม่ๆ ยังคงเสนอความแปลกใหม่ ความกล้า ความกล้าบ้าบิ่น ความสุดโต่งในดีไซน์ แต่เรามีความฝันเล็กๆ ว่าเราอาจจะเปิด ไลน์เสื้อผ้าผู้หญิง , ไลน์ Jewelry และ Accessories เพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเติบโตในตลาดต่างประเทศมากขึ้นครับ
คุณคิดว่า Young designers มีส่วนสำคัญกับอุตสาหกรรม Fashion ทั่วโลกรึเปล่า?
แน่นอนครับ ผมมองว่า Young Designer เป็นตัวผลักดันเล็กๆ ที่ทำให้โลกแฟชั่นแปลกใหม่ บางครั้งแบรนด์ใหญ่ยังต้องยอมเปลี่ยนตัวเองบ้าง เพื่อให้อยู่รอด เพราะ Young Designer มาพร้อมกับความคิดสดใหม่ และ ความทะเยอทะยาน นอกกรอบ กบฎอย่างไม่สนใจอะไร แต่ก็สร้างกระแสนิยมในวงการได้เสมอ
ต่อจากนี้วางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้าง ทั้งในฐานะ Designer และ Promoter
ผมยังสนุกและคิดว่าไม่มีวันเบื่อ กับการทำงานทั้ง 2 บทบาทอยู่ เพราะเหมือนทั้ง 2 บทบาท ให้แรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน ดนตรีก็ให้ inspiration กับงานดีไซน์ที่ผมทำ และบ่อยครั้งที่งานดีไซน์เสื้อผ้าก็ให้แรงบันดาลใจกับดนตรี โดยเร็วๆ นี้น่าจะมีการ Collaboration กันแบบชัดเจนกับ Night Club หรือ Artist ทางด้านดนตรี ต้องรอดูครับ แต่แน่นอนว่า ทั้งในฐานะ Designer และ Promoter ผมยังคงคิดและนำเสนออะไรแปลกใหม่อย่างต่อเนื่อง แน่นอน
สุดท้ายนี้ฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังค้นหาตัวเอง
สั้นๆ เลยนะครับ 3 ข้อ
อย่าให้เสียงเรา เสียงดัง กว่าผลงาน
อย่าให้ Ego สูงกว่าคุณภาพงาน
กล้าคิด กล้าทำ ลงมือทำเลยไม่ต้องรอเวลา และ อย่าหยุดทำ

WINKIEB
bill@tempobkk.com
ผู้รักเสียงเพลง และดนตรีสังเคราะห์เป็นชีวิตจิตใจ